เอามาจาก post นี้ครับ https://www.facebook.com/boustudio/posts/10151012684784889
(ที่ post เขาไม่ได้บอกว่าเอามาจากใครหรือเปล่านะ แต่ google ดูมีซ้ำ ๆ กันหลายเว็บเหมือนกัน)
10 ข้ออ้าง ทำลายฝัน
- ไม่มีเวลา นี่เป็นข้ออ้างยอดฮิตเลยทีเดียว
"ไม่มีเวลา" ดูเป็นปัญหาที่หนักหนามากสำหรับหลาย ๆ คน ที่จริงแล้วประโยคไม่มีเวลานี่ ใช้ได้กับ “คนตาย” เท่านั้น ส่วนคนเป็น มีเวลาเสมอ ขึ้นอยู่กับเราใช้เวลายังไง แต่ที่รู้สึกว่าไม่เหลือเวลาให้ทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นเพราะเราไม่ได้จัดการเวลาที่มีอยู่ให้ดี
- ตอนขึ้นรถเมล์ ตอนเข้าห้องน้ำ พวกนี้ก็เป็นเวลาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้คิดงานได้ดี
- เสียเวลาในการวางแผนทำงาน งานจะเสร็จเร็วขึ้น ตัดขั้นตอนที่ไม่จำเป็นออกไป
- ลดเวลาที่ทำสิ่งที่ไม่มีผลกับชีวิตมากนักออกไป เช่น ดูทีวีนานๆ
- ตอนขึ้นรถเมล์ ตอนเข้าห้องน้ำ พวกนี้ก็เป็นเวลาเหมือนกัน สามารถนำมาใช้คิดงานได้ดี
- บ้านจน/ทุนน้อย/ไม่มีทุน
มีหลาย ๆ อย่างที่ทุนสามารถเริ่มต้นได้ โดยไม่ต้องมีต้นทุนสูงนักหรือไม่ต้องใช้ทุนเลย ถ้าเราไม่มีทุน เราอาจจะมี 1 ใน 4 อย่างนี้
- แรง
- เวลา
- ความรู้ความสามารถ
- สมอง
- ยังไม่เก่ง ขอฝึกก่อนประโยคนี้...หลาย ๆ คนเป็น เพราะรู้สีกว่ายังไม่เก่ง อยากรอฝึกฝนให้เก่งก่อน ที่จริงแล้ว สิ่งที่ฝึกฝนเราได้ดีที่สุด คือ โลกภายนอก หรือ ประสบการณ์การทำงานจริง ๆ ออกไปหาประสบการณ์ แล้วเราจะเก่งขึ้น
- ไม่ได้เรียนจบคณะนั้น ๆ
- แอนโทนี่ ร็อบบินส์... เรียนไม่จบ ใช้ชีวิตเป็นภารโรง ปัจจุบัน เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก
- ออเดรย์ คาวาซากิ...เรียนไม่จบ ปัจจุบันเป็นศิลปินที่ดัง มีคนรู้จักทั่วโลก
- ซีโมชัน...ช่างภาพสาวชาวสิงคโปร์ เรียนไม่จบ ปัจจุบัน โด่งดังไปทั่วโลก
-
สตีฟ จอบส์...เรียนไม่จบ เป็นเจ้าของบริษัทที่มีมูลค่าแบรนด์ลำดับต้น ๆ ของโลก
- มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก...เรียนไม่จบ เป็นเจ้าของเฟซบุ๊ค
- ตัน ภาสกรนที...เรียนจบม.3 สร้างแบรนด์โออิชิจนเป็นที่รู้จัก
- บิล เกตส์...เรียนไม่จบ เป็นเจ้าของไมโครซอฟท์
ระบบการศึกษาโดยส่วนมาก คือการเรียน เพื่อจบมา ไปทำงานบริษัทดี ๆ มั่นคง หรือเส้นทางของคนส่วนใหญ่
การศึกษา เป็นหลักประกันในชีวิตได้ส่วนหนึ่ง คือเป็นสิ่งที่ยังจำเป็นอยู่ อย่างน้อยถ้าตั้งใจเรียนในระบบ ออกมาก็น่าจะมีงานดี ๆ รองรับ แต่มันไม่ใช่ ข้ออ้าง ถ้าคุณการศึกษาน้อย เรียนไม่จบ หรืออื่น ๆ เพราะคนอื่น ๆ ที่ทำสำเร็จก็มีตัวอย่าง และความเป็นรองในชีวิตนี่แหละ ทำให้ชีวิตมีสีสัน ถ้าคุณเกิดมาพร้อมทุกอย่าง ทั้งหน้าตา ฐานะ ชาติตระกูล ในชีวิตคุณก็รู้สีกว่ามีครบแล้ว คุณอาจจะสบาย อาจจะไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว แต่ว่าชีวิตจะขาดแรงบันดาลใจไปทันที
การที่เราเกิดมาไม่สมบูรณ์พร้อม มันก็เหมือนกับการเล่นเกมนี่แหละ ที่เราค่อย ๆ เล่นทีละเลเวล ไล่ตีมอนสเตอร์เก็บเลเวลไปเรื่อย ๆ ถ้าหากเราใช้บอท มาถึงเลเวล 99 เลย เกมนั้นคงขาดความสนุกหรือความท้าทายไปเยอะเลย เกมแห่งชีวิตก็ไม่ต่างกัน
- แอนโทนี่ ร็อบบินส์... เรียนไม่จบ ใช้ชีวิตเป็นภารโรง ปัจจุบัน เป็นนักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก
- ไม่มีพรสวรรค์
พรสวรรค์นั้นบังคับไม่ได้ เพราะคนเราเกิดมาไม่เท่ากัน บางคนอาจจะโชคดีเกิดมาในครอบครัวที่สนับสนุน มีต้นทุนมากกว่าคนอื่น แต่สิ่งที่คนเราจะแตกต่างกันได้คือ การฝึกฝน
- แก่ / เด็กเกินไป
ผู้พันแซนเดอส์ เริ่มกิจการ ตอนอายุ 60 ปี
เถ้าแก่น้อย หรือ คุณอิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เป็นเจ้าของกิจการใหญ่ ตอนอายุไม่ถึง 25
- พ่อแม่ไม่สนับสนุน
ไม่ได้บอกให้ต่อต้านพ่อแม่
แต่ว่าพ่อแม่ ไม่ใช่คนที่จะอยู่กับทางเลือกของเราตลอดชีวิต
คนที่จะมีความสุข หรือ มีความทุกข์กับทางเลือกของเรา คือ ตัวเราเอง รับผิดชอบทางเดินชีวิตของตัวเอง คุยกับพ่อแม่ดี ๆ ถ้าท่านไม่ให้ ก็พิสูจน์ตัวเอง หรืออาจจะทำหน้าที่ ลูกที่ดีให้ท่านพอใจก่อน
- คนรู้จักน้อย/ไม่มีคอนเนคชัน
คนรู้จักน้อย... → ง่าย ๆ ...คือ...ออกไปเจอคนเพิ่ม
มี 2 สิ่งที่จะทำให้ชีวิตใน 5 ปีของคุณเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือ....
- หนังสือที่คุณอ่าน
- เพื่อน
- งานไม่เป็นที่นิยม/ไม่ค่อยมีคนชอบ
ขอยกประโยคในการ์ตูน Bakuman “แทนที่จะทำอะไรให้คนส่วนใหญ่ชอบ ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ อาจจะไม่ชอบ แต่สุดท้าย คน 2 ใน 10 คนจะชอบงานเรา”
งานเป็นที่นิยมหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าคุณหา นิช (Niche คือ ตลาดของสินค้าและบริการที่แปลกหรือแตกต่างไปจากท้องตลาด) ของตัวเองพบหรือเปล่า?
สิ่งที่คุณทำได้ดีจนแตกต่างจากผู้อื่นคืออะไร ถ้าคนอื่นไปซ้าย ลองไปทางขวาดู จากหนังสือ... “กล้าคิดต่างอย่างสตีฟ จอบส์ กล่าวไว้ว่า สตีฟ จอบส์ เวลาทำอะไรไม่เคยมีโฟกัสกรุ๊ปหรือกลุ่มเป้าหมาย
เหตุผลคือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้หรอกว่าตัวเองต้องการอะไร หรือชอบอะไร ถ้าทำโฟกัสกรุ๊ปหรือหากลุ่มเป้าหมาย สุดท้ายก็จะได้งานที่เหมือน ๆ กันกับคนอื่น ถ้าคุณเหมือนกับคนอื่น คุณจะเหมือนกับปลาที่ว่ายน้ำอยู่ในฝูงปลาด้วยกัน ไม่มีอะไรแตกต่างหรือโดดเด่น ไม่ใช่งานที่เป็น innovation หรือ นวัตกรรมที่แตกต่างจากคนอื่น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเวลาคนทำธุรกิจตาม ๆ กระแสจึงเจ๊งกันหมด
การทำงานโดยความคิดว่าอยากให้คนชอบเยอะๆ ทำให้งานคุณออกมาไม่ดี เพราะต้องเอาใจคนอื่น ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง
แต่ปัญหาอีกอย่างที่หลาย ๆ คนพบคือ...
“เป็นตัวของตัวเองมาตลอดชีวิตแล้ว ไม่มีใครสนใจงานเราเลย”
...จริง ๆ แล้วมีอยู่ 3 ข้อที่เราควรถามตัวเอง...
- พยายามพอหรือยัง ?
- อยู่ถูกที่ถูกหางหรือเปล่า ?
- ที่ผ่านมาเก็บงานไว้ให้ตัวเองดูคนเดียวหรือเปล่า ?
- มันเสี่ยงเกินไป
ชีวิตคนเราเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา... (ไม่งั้นบริษัทประกันคงอยู่ไม่ได้)
- เดินอยู่ดี ๆ อาจจะมีคนเอามีดมาจี้
- เครื่องบินตก
- โลกแตก
- น้าท่วมโลก
- แผ่นดินไหว
- สินามิ
- ถูกเลย์ออฟ
- ฯลฯ
แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะเขียนหนังสือต่อไป
เราไม่มีทางรู้เลยว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น “สิ่งที่เสี่ยงที่สุด คือ การไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย”
เมื่อเรามีต้นทุนชีวิตที่ดีแล้ว สิ่งต่างๆ ที่ดีจะตามมาเองฺ...
สำหรับ 10 ข้อนี้ที่เอามา คงมีข้อ 8 ที่ยังคงมีปัญหา และ คงมีปัญหาไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นคนสันโดด ไม่ชอบสุงสิงกับใคร ก็ทำใจระดับหนึ่งแล้วว่า เป็นตัวเองอย่างนี้ ก็จงพอใจซะ ทำเท่าที่ทำได้ เพราะข้ออื่น ๆ เราก็ลงมือทำแล้ว พวกข้อความสวย ๆ เหล่านี้ ก็จะเป็นแค่ข้อความสวย ๆ เก๋ ๆ ดูเท่ถ้ามี post เอาไว้ แค่นั้นจริง ๆ ถ้าตัวเองไม่คิดจะลงมือทำ อยากให้อะไรดีขึ้นไม่ว่า ตัวเรา สังคม จงลงมือทำซะ พูดมากน่ารำคาญเปล่า ๆ
ปล.เนื่องจากข้อมูล และ คำ ที่เอามาจากต้นฉบับมีข้อผิดพลาด และขาดแหล่งอ้างอิง เลยแก้คำผิด จัดย่อหน้า และใส่ลิงก์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อ่านง่าย และ คลิกดูข้อมูลเติมได้สะดวกยิ่งขึ้น
คัดลอกไปใช้ได้ตามสะดวก แต่อย่าเคลมว่าเป็นของตัวเอง แค่นั้นแหละครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่