19 มกราคม 2561

อายุ 40 ปี ยังแจ๋วอยู่หรือเปล่า?

ใครที่หลงเข้ามาอ่าน ตอนนี้เจ้าของบล็อกอายุ 40 ปี แล้วครับ จบมาทำงานตั้งแต่ปี พ.ศ.2544 ตอนนี้ก็ผ่านไป 17 ปีแล้ว ทำงานมานานขนาดนี้ต้องผ่านอะไรมาเยอะพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความก้าวหน้า เรื่องดี ๆ เรื่องร้าย ๆ ความสมหวัง ความล้มเหลว แต่ก็นั้นแหละมันต้องใช้ชีวิตแบบนี้ไปจนตาย ถ้าคิดว่าอายุเฉลี่ย 60 ปี อีกแค่ 20 ปีก็จบแล้ว แล้วก่อนจะจบมีอะไรอยากจะได้บ้างไหม? คำถามที่ตอนนี้คิดว่าน่าจะพอมีคำตอบให้กับตัวเองแล้วล่ะ คำตอบที่ว่ามาจากไหน จะค่อย ๆ ย้อนเวลา เล่าให้ฟังครับ

อะไรที่อยากทำแต่ล้มเหลวบ้าง

มันเป็นเรื่องธรรมดาเลยที่จะไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดอะไร และอยากทำอะไรที่สุด คนรู้จักบางคนก็บอกว่าที่ทำอยู่ทุกวันก็ไม่ได้ชอบแต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไร แต่อย่างน้อยที่ทำอยู่มันก็สร้างรายได้ให้ระดับที่พอใจ สำหรับตัวผมลองค้นหาอะไรหลายอย่าง ลองทำตามที่ได้ยินมาจากคนอื่นบ้าง จากหนังสือ How to บ้าง ตอนแรกมันก็สนุกดีครับ แต่พอเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ มันชักเริ่มไม่สนุกล่ะ เพราะสิ่งที่ตัวเองทำมันไม่ทำเงิน

ตอนเรียน

ชอบเขียนโปรแกรม อันนี้ชัดเจนมาก ชอบคอมพิวเตอร์ เริ่มจาก GW Basic Pascal C และพอมายุค Windows ครองเมืองก็เริ่มจับ Visual Basic ปัญหาที่พบภายหลังคือ ตัวเองมีนิสัยชอบค้นคว้าไปเรื่อย เหมือนของเล่นที่หา mod มาแต่งมาเพิ่ม แต่กลับไม่ดูโลกความเป็นจริงว่า โปรแกรมใดก็ตามทำเพื่อความบันเทิงตัวเอง มันสนุกแต่สุดท้ายถ้ามันไม่สามารถขายได้ หรือทำเงินได้ตอนนั้นแหละมันจะเริ่มไม่สนุก

เคยลองทำ Direct Pad Pro ขายอยู่ช่วงหนึ่งก่อนที่ตัวแปลงจอยเกม PlayStation ของจีนจะไหลทะลักเข้ามา ตอนนั้นยังต้องเสียบผ่าน Parallel Port (ช่องที่เอาไว้ต่อเครื่องพิมพ์) ขายได้ประมาณ 10 กล่องก็เลิก หลักจากนั้นก็เป็นยุค USB ไม่ขาดทุนแต่หักลบของที่ซื้อมาแล้วเหลือกำไรนิดเดียว

เคยลองซื้อเครื่อง CDR Writer มาเขียนแผ่น CDR ขาย แน่นอนแผ่นเถื่อนครับ ตอนนั้นอยากทำเพลง MP3 ตามสั่งได้ เลยเขียนโปรแกรม VB6 ต่อเข้ากับ MS Access สามารถเลือกเพลงมาใส่ในแผ่นได้จนเต็ม ลูกค้าคือเพื่อนที่คณะ ทำได้ไม่กี่แผ่นก็เลิกเพราะที่บ้านกลัวถูกจับ เลยโหลด DirectX 7 SDK มาขาย ก็ขายได้หลายแผ่นอยู่ สรุปว่าได้ค่าเครื่องคืน กำไรนิดหน่อย จะว่าล้มเหลวก็ได้เพราะไม่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำเหมือนคนอื่น ๆ รอบ ๆ ตัว

ตอนที่เรียน Internet ยังไม่เข้าถึงทุกครัวเรือน ต้องใช้โมเด็ม 56K หมุนโทรศัพท์ใช้งานด้วยความเร็ว 3KB ต่อวินาที เริ่มรู้จักภาษา Java แต่เครื่องสมัยนั้นหน่วยความจำยังแพงมา 1MB ราคา 1,000 บาทได้ ทำให้เครื่องมี RAM แค่ 8-16 MB เท่านั้น ทำให้เวลาใช้ Java เป็นประสบการณ์ที่แย่มาก เลยไม่ชอบ

งานแรก

ตอนนั้น .com กำลังบูมเลยครับ เลยสนใจอยากสร้างเว็บไซต์ เลยหาเครื่องมือและภาษาที่ใช้พัฒนา จนมาลงเอยด้วย php ตอนนั้น Version 4 เพิ่มออกใหม่ ๆ ยังจำได้เลยว่ายังใช้ตัวแปร $HTTP_POST_VARS ในการรับค่าจาก html form สักพักก็เหลือแค่ $_POST $_GET แทน ฐานข้อมูลคือ MySQL ยังไม่รองรับภาษาไทย ใช้งานได้แต่ sort เรียงลำดับตามภาษาไทยไม่ได้ ทำอยู่ปีครึ่งก็ย้ายงาน ตอนนั้น php ปึ๊กมาก

สมัยนั้นเคยวาดฝันไว้เยอะแยะเลยว่าอยากทำเว็บ Microsoft Project แชร์ข้อมูลการทำงาน แต่เทคโนโลยีมันไม่ไหว เครื่องสมัยนั้น ระบบ internet ก็กากเอามาก ๆ แต่ดูตอนนี้สิ Google Drive หรือ Office365 ทำที่ว่ามาได้ฉลุย คือคิดแล้วแต่ต้องรอโครงสร้างพื้นฐานมันพร้อมด้วย

โดนหลอกครั้งแรกอย่างเป็นทางการ

ต้องบอกเลยว่าตัวเองเป็นคนที่โลกแคบมาก วัน ๆ ก็หมกตัวอยู่กับเกมกับคอมพิวเตอร์ได้ทั้งวันไม่เบื่อ ทำให้ไม่ค่อยรู้เรื่องโลกภายนอกสักเท่าไหร่ และวันนั้นก็มาถึง การโดนหลอกครั้งแรกนั้นเอง

งานใหม่เลือกเพราะใกล้บ้านมากขึ้นจากม.เกษตรฯ มาอยู่รามอินทราตรงถนนตัดใหม่ เดินทางสบายกว่าเก่า เป็นบริษัท consult ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจว่ามันเป็นยังไง ตอนสมัคร HR หลอกว่ามีงานข้างนอกบ้าง แต่พอทำงานจริงต้องไปทำงานข้างนอกตรงซอยอารีย์ 100% สรุปว่าไกลว่าเดิม ทำไปสักพักพอรู้ว่าโดนหลอกเลยหางานใหม่ไปเจอที่สีลม ตอนนั้นคิดว่าไหน ๆ ก็โดนหลอกมาทำงานจะในเมืองอยู่แล้ว ขึ้น BTS ไปอีกหน่อยน่าจะดีกว่า ทำที่เดิมได้ 3 เดือน ลาออก

ตอนลาออกนี่เด็ด HR บอกว่าจะออกต้องบอกล่วงหน้า 1 เดือน เลยเอาสมุดพกที่เขาแจกตอนเข้าทำงานชี้ให้ดูตรงช่วงทดลองงานสามารถบอกเลิกจ้างได้ภายใน 7 วัน ตอนนั้นเริ่มฉลาดขึ้นมานิดนึงแล้ว นิดนึงจริง ๆ นะ พอชี้ให้ดู HR ก็เงียบไป สุดท้ายก็ให้ออกแต่โดยดี

ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่เข้ากับอายุเกิน 20 ปี หัวหน้าที่ทำงานเดิมบอกว่าจะจ้างให้นอกเวลา ให้เงินเท่าเดิมด้วย เราก็เชื่อแหะ โห มาตอนนี้บอกเลยว่าหนูซื่อมาก กว่าจะรู้ว่าเขาก็พูดไปอย่างนั้นแหละก็ตอนที่โทรไปบอกเรื่องโปรแกรมที่เขาให้ช่วย แล้วเขาบอกว่าเขารับคนอื่นเข้ามาแทนแล้ว จบ!

โดนหลอกครั้งต่อมา

งานใหม่ที่ไปทำยังเป็นทำเว็บครับ คนจ้างเขาอยากได้เว็บขายของ สมัยนั้นพวก Frame work ต่าง ๆ ยังเป็นวุ้นอยู่ เลยต้องอาศัยคนเขียนโปรแกรม เลยได้สร้างเว็บไซต์สมใจอยาก ได้ขายของ ได้จัดการหน้าร้าน ครบ อ้าวแล้วโดนหลอกตรงไหน ตรงที่ว่างานที่ไปทำเป็นงานลับ ๆ ครับ คือเจ้าของอยากให้ทำมาขายแบบ early access คือไม่ต้องการเปิดเผยตัวจริง ทำให้ไม่มีสังกัด ไม่มีเงินเดือนแม้จะได้รับเงินค่าจ้างทุกเดือน ตอนนั้นก็คิดว่าเป็นอะไร แต่สุดท้ายไม่สามารถเอา statement เงินเดือนมาทำบัตรเครดิตได้ จบกัน เพิ่งมารู้ภายหลังว่างานแบบนี้เขาเรียก contact ไม่ประจำ

ทำอยู่ 2 ปีก็ออกมา ตอนนั้นพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง ก็เลยอยู่บ้านว่างงานประมาณครึ่งปี ก็หาอะไรทำไปเรื่อย ตอนนั้นเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานพวกเว็บไซต์ล่ะ ไม่ได้อยากทำเหมือนตอนจบมาใหม่ ๆ พอเงินใกล้หมดก็เริ่มหางานใหม่จนมาถึงการโดนหลอกครั้งถัดมา

โดนหลอกครั้งต่อ ๆ มา

มีคนโทรมาติดต่อให้เขียนโปรแกรม VB6 เพราะคนเดิมทำไว้พัง ที่เรียกไปทำเนื่องจากเป็นธุรกิจที่เพิ่งทำมาเลยมีประสบการณ์ พอคุยเสร็จให้เอกสารมาเยอะเลย ให้ตีราคามา สุดท้ายตีราคาแจ้งไป เงียบ! พอโทรคุยอีกทีบอกว่าโปรเจ็กมีปัญหาเลยขอระงับไว้ก่อน ตอนนั้นไม่เคยรับงาน freelance แบบนี้ กว่าจะรู้ตัวว่าต้องโทรไปตามก็เกือบสัปดาห์ ซึ่งหลัง ๆ พบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดามาก ที่จะเรียกไปคุยรายละเอียดงาน เสนอราคา และเงียบถ้าไม่สนใจ หลัง ๆ เจอเคสแบบนี้ก็เฉย ๆ ล่ะ แต่ไม่ได้ชอบลูกค้าแบบนี้หลอกนะ เพราะมันทำให้เสียเวลาและเพิ่มค่าใช้จ่ายด้วย

พอเริ่มรู้สึกอิ่มตัวกับงานทำเว็บและ php เลยอยากกลับมาศึกษา VB.Net จากที่ตอนแรกต่อต้านเพราะรู้สึกว่าโดน Microsoft หักหลัง แต่สุดท้ายแล้วพอได้ทำงานมาได้ทราบถึงโครงสร้างและวิธีการดำเนินทางธุรกิจในโลกแห่งความเป็นจริง ก็ไม่แปลกที่จะทำแบบนั้น และสุดท้ายก็ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องด้วย

เมื่อตั้งใจจะเปลี่ยนทิศเบนมาทางนี้ก็เลยยอมทำงานที่ได้เงินเดือนน้อยลง แต่ขอแลกกับได้เขียน VB.Net ซึ่งก็มีที่หนึ่งรับครับ ตอนนั้นดีใจมากที่จะได้เขียน VB.Net แต่สุดท้ายก็โดนหลอกให้ไปทำเว็บด้วย php แทน ที่คิดไว้ว่าทำงานจบก็จะได้ทำ VB.Net สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ ยังต้องทำเว็บอยู่อีก 3 เดือน พอเริ่มตาสว่างว่าโดนหลอกอีกแล้ว เงินเดือนที่เรียกไว้ต่ำด้วยเพราะถือว่าไม่มีประสบการณ์ VB แต่เอามาใช้งานแก้ไขปัญหาเว็บ ถือว่าขาดทุนมาก ๆ ก็พอดีได้จังหวะได้เช่าห้องว่างคนรู้จักเซ็งธุรกิจไปรษณีย์เอกชน ก็เลยลาออก

รวมความล้มเหลวจากความเพ้อฝัน

เมื่อตอนยังมีไฟ เคยฝันอยากทำอะไรหลายอย่างมาก โดยสิ่งที่จุดไฟเหล่านี้ได้แก่ ความชอบส่วนตัว จากที่คนอื่น ๆ เขาเป็นแล้วเราอยากเป็นบ้าง จากคำคม คำสร้างฝันต่าง ๆ
  1. อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ
  2. อยากขายของที่ตัวเองคิดและทำ
  3. อยากเขียนหนังสือและอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองถนัด
  4. เพิ่มเติมหลังจากทำงานมา 3-4 ที่ ก็เริ่มอยากมีความอดทนทำงาน ไม่ลาออกง่าย ๆ บ้าง

หลอกตัวเองจนหมดเวลา

จากความอยากในข้อ 1 - 3 เลยลองของจริงเพื่ออยากพิสูจน์ว่าตัวเองก็ทำได้ และพบว่าเวลาที่ใช้ไปหลายปีมันพิสูจน์ว่ามันเป็นไปไม่ได้ ทำไมถึงหยุดล่ะ จริง ๆ หากพยายามอีกนิดก็อาจจะสำเร็จก็ได้ นั้นแหละครับมันเหมือนกับรูปสร้างกำลังใจด้านล่างเลย ขุดอีกนิดก็เจอเพชรแล้ว อย่าเพิ่งล้มเลิกความตั้งใจ

ภาพสร้างกำลังใจ สร้างฝันที่เจอกันบ่อย ๆ
ในภาพถือว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันมากเพราะในโลกความเป็นจริง เรามีทรัพยากร แรง และเวลาจำกัด และไม่มีความสามารถที่จะพยากรณ์ได้อย่างถูกต้องว่าพยายามทำแล้วจะได้ผลอย่างที่ต้องการ 100% ส่วนมากขุดไปก็ไม่เจอเพชรหรอก เพราะถ้ามันเจอกันเยอะคนรวยคงเต็มไปหมดแล้ว และคงไม่มีปัญหาเรื่องความหลื่มล้ำของรายได้ในสังคมด้วย พิสูจน์ง่าย ๆ โดยลองไปดูคนที่ไปอบรมสร้างฝันพวกนี้ดู ลองตามผลดูว่าส่วนใหญ่สำเร็จหรือไม่ หรือไปดูบริษัทขุดเจาะน้ำมันว่ากว่าจะรู้ว่าตรงไหนมีน้ำมันให้เจาะ ต้องเสียเวลา เสียเงินไปเท่าไหร่

สำหรับตัวผมเองได้ลองทุกอย่างอย่างที่ต้องการแล้ว โดยกำหนดขอบเขตเวลาไว้คร่าว ๆ และความก้าวหน้าของสิ่งที่ทำ ซึ่งพบว่ายิ่งทำยิ่งห่างไกลจากที่ฝันไว้มาก เจอปัญหามากมาย ใช้เวลามากกว่าที่คิดไว้โดยไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ เมื่อเห็นภาพแล้วว่ามันไม่เหมือนในฝันก็ต้องหยุด ถอยออกมาดูว่าเราทำอะไรไปแล้วและได้ผลอย่างไร จะเอาไงต่อดี

อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ เลยลองเปิดร้านไปรษณีย์เอกชนดู ทำอยู่เป็นปี ช่วงแรกอดทน รายได้น้อยมาก พอทำไปครึ่งปี เริ่มอยู่ตัว รายได้ดีจนเริ่มกำไรก็มาเจอช่วงมีปัญหาการเมือง-ทหารยึดอำนาจ ตอนนั้นจำได้เลย อยู่ ๆ ลูกค้าก็หาย ไปรษณีย์ที่มีคนมาส่งของส่งเงินจนเข้าคิวล้นออกมาหน้าประตูมันหายไป ตอนนั้นจากที่กำไรก็แค่พออยู่ได้ สุดท้ายยิ่งทำยิ่งไม่มีความสุข เครียด เลยหยุดออกมาหางานประจำทำเหมือนเดิม

อยากขายของที่ตัวเองคิดและทำ ผมทำมาหลายอย่างเลยอันนี้ ทำกล่องจอยขาย ทำ CDR ขาย ทำปลั๊กไฟขาย ทำแล้วไม่รอด ไม่โต ไม่เป็นอย่างที่หวัง ไม่มีกำไร พอหมดกรอบเวลาที่วางแผนเอาไว้ก็หยุดครับ หยุดเพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้ใหญ่ไปกว่านี้ เสียเงินยังไม่เท่าไหร่ เสียเวลานี่สำคัญกว่า จากการพยายามลองหลายครั้งทำให้ยืนยันว่าตัวเองไม่มีทักษะในการคิดสิ่งใหม่ ๆ ที่คนอื่นยังไม่คิด หรือหาจุดขายสินค้าที่ตลาดไม่มีได้

อยากเขียนหนังสือและอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองถนัด อันนี้ก็มาจากความที่เห็นคนเขียนหนังสือแล้วมีรายได้ดี (คิดเองเออเอง) ก็เลยอยากลองมั้ง เคยพยายามเขียนหนังสือ php จนมาถึง Excel VBA สุดท้ายไม่รอด ใช้เวลาเขียนนานมาก วันหนึ่งได้ไม่ถึง 3 หน้า บางทีเขียนมาอ่านเองแล้วรู้สึกน่าเบื่อมาก ยิ่งเขียน ยิ่งทำ ยิ่งรู้สึกแย่กับผลงานที่สร้างออกมา

อยากมีความอดทนทำงาน ไม่ลาออกง่าย ๆ หลังจากที่กลับมาทำงานประจำครั้งล่าสุด เงินเดือนไม่เยอะครับ แต่ที่ทำงานมีหัวหน้าที่คุยกันรู้เรื่องเข้าใจการทำงานเป็นอย่างดี และเพื่อนร่วมงานอีก 1 คน ที่เป็นคนสบาย ๆ บ้าน ๆ คุยกันง่าย ๆ เลยรู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ที่นี่ ถึงแม้ว่าแผนก IT ที่ทำอยู่เป็นแค่แผนก Support เท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีมาก ๆ จนมาถึงวันที่เปลี่ยนหัวหน้าใหม่ จากนั้นสิ่งที่เคยตั้งใจไว้ว่าจะอยู่ยาว ๆ เริ่มสั่นคลอนเนื่องจากหัวหน้าใหม่คนนี้เป็นหนังคนละม้วนกับหัวหน้าคนแรก พยายามอยู่ 3 ปี ถือว่าเป็นช่วงที่ใช้ความอดทนที่สุดในชีวิตการทำงานเลยก็ได้ เครียดเพราะปล่อยวางเรื่องงานไม่ได้ จนสุดท้ายต้องพบจิตแพทย์เพื่อรักษาอาการซึมเศร้า พอหายก็มาเจอปัญหาเพื่อนร่วมงานคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ เสียชีวิตเพราะโรคหัวใจ จบเลยครับ อยู่กับหัวหน้าแค่ 2 คน สุดท้ายทนทำงานรวมได้ 6 ปีก็ลาออกมารักษาสังขาลที่พังเพราะเครียดจากการทำงาน

ผมได้ลองทุกอย่างที่ฝันที่คิดเอาไว้แล้ว ได้ลองทำจริง และได้พิสูจน์แล้วว่าตัวเองไม่เหมาะกับสิ่งดังกล่าว และไม่คิดจะฝืนทำต่อไป ถ้าได้คุยกับคนที่บ้าน เพื่อน หรือคนอื่น ๆ ก็สามารถพูดได้เต็มปากเวลาที่มีใครแนะนำว่าให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้สิ ผมลองแล้วมันไม่รอด สิ่งที่ผมทำได้ดีที่สุดคืองานเขียนโปรแกรม แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของคนอื่น นั้นก็คือ รับจ้างทำงานนั้นเอง

ประเมินศักยภาพและข้อจำกัดของตัวเอง

เมื่อตัวเองยอมรับความล้มเหลวได้แล้วถึงเวลาต้องมาตั้งหลักกันใหม่ กำหนดกรอบเวลาและสิ่งที่ต้องการให้ชัดเจน อาจมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้หน่อยเพราะอย่างที่เจอมาไม่มีอะไรที่เป็นอย่างที่หวังเลย ถ้ามองในภาพธุรกิจทั่วไปซึ่งจะได้เงินก็ต่อเมื่อมีการแลกเปลี่ยน demand และ supply กัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของ มันเป็นอะไรก็ได้ แต่มันไม่หลุดไปจากนี้ พอแลกเปลี่ยนแล้วจะได้เงินเป็นสิ่งตอบแทน

ในธุรกิจหนึ่ง ๆ มันจะมีทั้ง demand และ supply อยู่ด้วยกันเสมอ เช่น จะสร้างสินค้า A ไปขาย การสร้างสินค้า A อาจจำเป็นต้องไปซื้อ a มาใช้เป็นส่วนผสม ถือว่า a เป็น demand ที่เราต้องการ ก็ต้องไปหา supply ที่ผลิต a และนำไปสร้าง A เพื่อขายคนที่จะมาเป็น demand สินค้า A ต่อไป ดังนั้นเราต้องมองให้ออกว่าเราอยู่ตรงส่วนไหนของธุรกิจ หากรู้แล้วว่าเราเหมาะตรงไหนจะทำให้เรากำหนดสิ่งที่ต้องการในการทำงานได้ง่ายขึ้น และเสียเวลาในการลองผิดลองถูกน้อยลง

การดำเนินธุรกิจทั่วไปในตลาดที่มี demand & supply

ผมเคยลองทำเองตั้งแต่ต้นจนจบ คือ หาความต้องการว่าจะผลิตสินค้าอะไร ทำมันออกมาและขาย ซึ่งล้มเหลว ขายไม่ออก ขายได้นิดเดียว หรือจะให้เป็นนายหน้าเอาของมาขายก็เจ๊งอีก ซึ่งถ้าดูจากส่วนการทำงานแล้วตัวเองน่าจะเหมาะกับหาวิธีผลิตสินค้าและบริการมากกว่า คือเอาข้อมูลจากทีมที่ไปหาความต้องการลูกค้ามา ทำออกมาให้เป็นสินค้าและให้ทีมขายเอาไปขาย

เมื่อรู้ว่าตรงไหนน่าจะเหมาะแล้วก็ต้องหาว่าเราเหมาะกับธุรกิจประเภทไหน ให้มองความเป็นจริงของตลาดว่าบริษัทต้องมีทุนหมุนเวียน ต้องทำแล้วได้เงิน เงิน ๆ ๆ ถ้าอันไหนทำแล้วไม่ได้เงินถือว่าเป็น hobby สำหรับผมจากที่ทำงานมาพบว่า ผมสามารถนำเอาข้อมูลจากแผนกต่าง ๆ มาช่วยสรุปผล หรือช่วยทำงานเกี่ยวกับเรื่องคำนวณยาก ๆ ซับซ้อนได้ ธุรกิจที่น่าจะพอเข้าไปทำได้น่าจะเป็นพวกธนาคาร หรือกลุ่มบริษัทที่ต้องเอาข้อมูลมายำใหญ่จนได้กราฟไปเสนอทีมได้
ต้ดส่วนที่ตัวเองไม่ถนัดออกไป

ปัญหาในการเข้าไปอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง

เมื่อประเมินได้แล้วว่าทำอะไร สามารถทำได้ดี ถึงเครียด ถึงเหนื่อยก็ยังสามารถพักแล้วกลับมาทำต่อได้ คราวนี้มันมีตัวแปรที่จะทำให้เราไปอยู่ในที่ที่เราควรจะอยู่

  1. Connection การรู้จักคนในวงการที่เราจะไปทำให้เยอะ ๆ แต่ถ้าเป็น Connection ของคู่แข่งเราจะเรียกว่า "เส้น" จุดนี้เป็นข้อด้อยที่ผมยอมรับมาตลอดว่ายอดแย่ ทำงานกับใครแล้วรู้สึกว่าเขามีจุดที่เราไม่ชอบหรือคิดไม่เหมือนกันจะไม่อยากต่อเลย ซึ่งถ้าอยากมีเส้นเยอะ ๆ ก็ต้องพยายามมองข้าวและคบหาคนไว้เยอะ ๆ ท่องเอาไว้ "ผลประโยชน์ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ"
  2. ดวงดี โชคดี จะเป็นเรื่องของ "จังหวะ" ที่ดันไปลงล็อคกับคน ๆ หนึ่งได้อย่างดี เช่น ดวงดีไปสมัครตอนที่เขากำลังอยากได้คนสุด ๆ หรือคนรู้จักแนะนำมาพอดี โหยแบบนี้ไม่เรียกดวงดีจะให้เรียกว่าอะไร ซึ่งใครอยากให้ดวงเฮ้ง ๆ ก็พยายามทำบุญกับคนรู้จักเอาไว้ครับ บางทีบุญอาจส่งผลให้เราได้งานดี ๆ แต่ทำบุญอย่าหวังผลตอบแทนเพราะมันเป็นเรื่องของกรรมครับ คนส่วนใหญ่มีกรรมครับ
  3. ไหลตามน้ำ เรื่องนี้ผมมีปัญหาอีกเช่นกัน คืออะไรที่มันผิด หรือทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ผมจะไม่ยอมไหลไปด้วย เลยไม่ค่อยเป็นที่รักของหัวหน้าประเภทที่เน้นเลียเป็นหลัก ผลงานเป็นรอง ซึ่งมันจะมีผลให้ทนอยู่ได้ไม่นาน
  4. ความมั่นใจ คือคนอื่น ๆ เวลามองผลและให้กำลังใจเสมอว่าผมมีทักษะที่มากกว่าคนอื่น ๆ ในสายงานเดียวกันแล้ว แต่ผมไม่ค่อยมีความมั่นใจ ยิ่งเวลาไปอ่าน blog หรือข่าวของคนเก่ง ๆ ใน internet แล้วจะทำให้รู้สึกว่าตัวเองเล็กนิดเดียว ตอนนี้มีความมั่นใจเรื่อง Excel และ VBA แล้วแต่ก็ดันไม่ค่อยมั่นใจในเรื่องสื่อสารกับคนอื่น ๆ แทน
  5. หมดไฟง่าย ตอนหางานแล้วมันไม่ได้งานสักที หรือไม่มีงานที่ตรงกับความสามารถเรา พอเวลาผ่านไปไฟมันมอดครับ เทียบกับตอนจบใหม่ ๆ นี่มอดง่ายมากเลย บางทีรอนานไฟหมดที่ไหนรับเอาหมดกลายเป็นแย่ไป
  6. อายุ 40 ปี เป็นเรื่องธรรมชาติมาก ทั้งที่เป็นเรื่องที่คิดเอาไว้แล้ว แต่พอเจอจริง ๆ ก็หนักหน่วง ทำให้รู้สึกท้อแท้เหมือนกัน ไม่มีใครอยากได้คนอายุ 40 ปี ไปแล้วมาทำงาน ยิ่งเป็นงานระดับ operation ยิ่งแล้วใหญ่ คือให้ไปทำเป็นพวก Manager หรือ Analysis มันไม่ใช่แนวไง ทำได้...แต่ไม่ดี เป็นคนจัดการเรื่องเยอะแล้วเครียด หรือดูแลคนอื่นแล้วอึดอัด ก็ไม่เข้าใจว่าจะ coding ไปเรื่อย ๆ ไม่ได้เหรอ? เอาอะไรมาตัดสินว่าคนอายุเยอะมันต้องทำงานที่ไม่ใช่งานเบ้แล้ว T-T
ตอนนี้หางานใหม่ ยากมากครับ โดยเฉพาะข้อ 6 เนี่ยแย่สุด ๆ เลย ก็จะพยายามไม่หมดไฟ หางานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะลงตัว


การมองโลกที่เปลี่ยนไป

หลังจากที่มาพักเพื่อรักษาสุขภาพตัวเองอยู่ 2 ปี ก็ตกผลึกความคิดเรื่องการทำงานว่า การที่เราต้องทนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เราเกลียด อยู่กับคนที่เข้ากับเราไม่ได้ ทำงานคนละแบบ เลีย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มันทำให้ไม่มีความสุข การอดทนเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาให้ดีว่าคุ้มค่าที่จะอยู่หรือไม่ หากเราปลง เราละไม่ได้ ก็ต้องถอยออกมาจากจุดนั้น ผมยังโชคดีที่ไม่มีภาระที่บ้าน พอมีเงินเก็บอยู่ มีเมียที่ยังช่วยหาเลี้ยง ออกจากงานมา ถ้าไม่ฟุ่มเฟือยก็อยู่ได้เรื่อย ๆ เลยคิดว่าจะไม่กลับไปอยู่ในจุดแบบนั้นแล้ว

อีกเรื่องคือการให้คำนิยาม "ความก้าวหน้า" และ "ความสำเร็จในชีวิต" ใหม่ สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่เราต้องนิยามมันเองครับ ไม่ใช่ให้คนอื่นมาชี้นิ้วบอก ถ้าได้ยินคนอื่นพูดบ่อย ๆ เช่น ต้องได้เลื่อนตำแหน่ง ทำงานได้เงินเยอะ ๆ ใช่ครับ เราทำงานแลกเงิน แต่ไม่ใช่เงินเยอะ ๆ เพราะคำว่าเยอะแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก

สำหรับผมตอนนี้ "ความก้าวหน้า" คือ การที่แต่ละปีพอมองดูตัวเองเทียบกับปีที่ผ่านมาแล้วมีอะไรดีขึ้นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต เรื่องทัศนะคติกับสังคมและที่ทำงาน

"ความสำเร็จในชีวิต" คือ การที่ได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า ไม่ขาดทุน เสียเปรียบคนอื่น ได้ทำงานที่ตัวเองถนัดและชอบไปเรื่อย ๆ จนแก่ครับ เพราะการทำงานเป็นหน้าที่หลักที่ทุกคน เป็น 50% ที่ทุกคนต้องทำในชีวิต ที่เหลือก็พักผ่อนตอนแก่ง่อมแล้ว

นอกจากนี้ ความคิดเรื่องความสำคัญของแผนกต่าง ๆ ในบริษัทมีความชัดเจนมากขึ้น ถ้าแบ่งตามหน้าที่หลัก ๆ ก็มีแผนกหาเงินเข้าบริษัท แผนกผลิตและสนับสนุน เป็นฟันเฟืองขับธุรกิจกันไป ผมอยู่แผนกสนับสนุนทุกแผนกทำให้เห็นภาพของทัศนะคติของแต่ละแผนกมองกัน

  • แผนกผลิต จะมองแผนกขายกับสนับสนุนที่ทำงานที่ออฟฟิตเป็นงานสบาย และมองว่าแผนกขายได้เงินเยอะกว่าแผนกอื่น และชอบงอแงเรียกร้องสิทธิพิเศษอยู่เนือง ๆ
  • แผนกสนับสนุน จะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกว่าแผนกอื่น เนื่องจากไม่ได้มีบทบาทโดยตรงกับรายได้ของบริษัท หากขาดไปก็ outsource ได้
  • แผนกขาย แม้จะถูกมองจากแผนกอื่นว่าสบาย ได้เงินเยอะ แต่จากที่สัมผัสมา เป็นแผนกที่เครียดครับ วัน ๆ ชีวิตวนอยู่กับการทำยอดขาย ต้องคอยเลียลูกค้า ทำยังไงก็ได้ให้ลูกค้าซื้อของ บางครั้งต้องไปสู้รบกับแผนกขายของคู่แข่งด้วยก็มี
ผมมองว่าเป็นแผนกขาย หากคนทำไม่รักจริง หรือไม่มีทักษะด้านการขายทำได้ไม่นาน มันเหนื่อยและเครียดไม่น้อยกว่าแผนกอื่น แค่เครียดคนละแบบ และน่าเห็นใจมากเหมือนกัน 

ส่วนคนที่ผมมองว่า "เลว" ที่สุดในบริษัท คือ "คนที่ไม่รู้จักหน้าที่ของตัวเอง" ถ้าบริษัทไหนมีเยอะก็จะไม่ค่อยกำไร หรือไม่ค่อยมีความสงบเท่าไหร่ จะมีเรื่องขัดแย้ง มีการเมืองในที่ทำงานกันถี่ ๆ ซึ่งน่าเบื่อมากครับ

ปีใหม่แล้ว

ขอบคุณผู้หลงเข้ามาอ่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ หากมีประสบการณ์ชีวิตอยากแชร์ก็เม้นได้นะครับ ส่วนผมเขียนเพราะช่วงนี้ปีใหม่พอดี ไม่ได้เขียนสรุปผลการดำเนินชีวิตในแต่ละปี ปีนี้ยิ่งพิเศษอายุ 40 ปี เลยเขียนยาว ๆ ก็หวังว่าคนที่หลงเข้ามาอ่านน่าจะพอได้ประโยชน์จากที่เขียนไม่มากก็น้อย และขออภัยที่อาจเขียนวกไปวนมา ขอบคุณครับ

ความจริงมักเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่หากยอมรับมันได้...ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับเจ้าของบล๊อก